วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เทคนิคง่ายๆในการอ่านหนังสือให้รวดเร็ว และ เข้าใจ!!!


อ่านหนังสือ ใครหลายคนได้ยินคำนี้ ถึงกับส่ายหัว
เพราะการอ่านหนังสือเป็นของไม่ถูกโรคกัน
บางคนถึงขั้นคิดว่า จะอ่านหนังสือ ก็เครียดแล้ว
อีกบางคน แค่เริ่มอ่าน อาการง่วงหงาวหาวนอน
ก็จะรีบมาเยือนเราในทันที ยิ่งเป็นตำรับตำรา
เป็นหนังสือเรียน หนังสือวิชาการ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่หากเป็นนิยายหรือการ์ตูนแล้วล่ะก้อ
อ่านหลายชั่วโมง หรือ อ่านทั้งวันก็ไม่หลับ จริงไหมครับ
.....
...
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่
ไม่ว่าจะเป็นระดับมัธยม ปริญญาตรี โทหรือเอก
และไม่ว่า จะเป็นคณะหรือสาขาวิชาใดก็ตาม
โดยเฉพาะหากเป็นคณะที่ต้องอ่านหนังสือมากๆ
เช่น คณะนิติศาสตร์ หรือ คณะศึกษาศาสตร์
การอ่านหนังสือถือเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย
.......
คำถามก็คือ ต้องอ่านหนังสืออย่างไร
.
อ่านกี่รอบล่ะ ถึงจะเข้าใจหรือจำได้
จะว่าไป เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิควิธีของแต่ละคนครับ
ไม่มีมาตรฐานว่า ต้องอ่านสองหรือรอบสามรอบ
บางคนอ่านรอบเดียวเข้าใจเลยก็มีให้เห็นอยู่มาก
แต่บางคนต่อให้อ่านหลายรอบก็ยังไม่เข้า(หัว) สักที
......
โดยหลักมาตรฐานของคนปกติทั่วไปที่เรียนดีแล้ว
เขาจะอ่านหนังสือควรอ่านประมาณสามรอบครับ
(โปรดใช้วิจารณญาณในมาตรฐานที่บอกนี้
เพราะขึ้นอยู่กับเทคนิคและสไตล์ของแต่ละคน)
.
อ่านรอบแรก ไม่ต้องจดจำ ไม่ต้องขีดเส้นใต้
หรือ เน้นข้อความใดๆทั้งสิ้น แค่อ่านผ่านๆให้พอเข้าใจ
รอบสอง จะเน้นข้อความหรือขีดเส้นใต้ในหัวข้อสำคัญ
ส่วนรอบสาม แม้จะต้องอ่านอย่างละเอียดและเข้าใจ
แต่เนื่องจากผ่านตามาพอสมควรแล้ว
จะทำให้การอ่านในรอบนี้ชัดเจนแจ่มเเจ้งและเข้าใจ
และควรสกัดหัวข้อหรือหลักเพื่อเตรียมสอบด้วยครับ
หลายคนทำแบบนี้แล้วได้ผลดีเลิศทีเดียวเชียวครับ
ก็อย่างว่า พูดน่ะง่าย แต่สำหรับบางคนนั้นไม่ง่ายเลย
โดยเฉพาะคนที่ทำงานไปเรียนไป จะทำอย่างไร
ลำพังหาเวลาอ่านรอบเดียว ก็แสนจะยากเย็นอยู่แล้ว
แต่สำหรับคนที่เป็นหนอนหนังสือ คนที่รักการอ่าน
และฝึกฝนการอ่านอยู่อย่างสม่ำเสมอ ก็ไม่ยากนัก
เทคนิคง่ายๆ ก็คือ ต้องฝึกอ่านให้เร็วขึ้นครับ
หลายคนอ่านช้า เพราะอ่านไปคิด(มาก)ไป
หรือไล่สายตาอ่านจากซ้ายไปขวา วนไปวนมา
...
วิธีอ่านให้รวดเร็วก็คือ ให้ฝึกอ่านโดยวางสายตา
ไปที่กลางประโยคหรือบรรทัดที่เราจะอ่าน
คือ อ่านในภาพรวมของประโยคหรือบรรทัดนั้นๆ
และหากเราอ่านได้วิธีนี้ได้สักพัก เราจะชินกับการอ่านเร็ว
และจับใจความหรือจับเป็นเด็นในประโยคนั้นได้เอง
ว่ากันว่า มีบางคนฝึกฝนจนเป็นนักอ่านขั้นเทพ
คืออ่านได้เร็วมาก เพราะเขาไม่ได้วางสายตาทีละบรรทัด
เขาวางสายตาไปที่กลางเนื้อเรื่องและจับประเด็นได้อย่างเข้าใจ
แต่จะทำได้ก็ต้องมีการฝึกฝนและมีสมาธิอย่างมาก
.....
นี่แหละครับ เทคนิควิธีการอ่านให้รวดเร็วขึ้น
ก็ลองนำไปปรับใช้กับวิธีการอ่านของแต่ละคนกันนะครับ
วันพุธเอง แม้จะนับว่าเป็นคนชอบอ่านหนังสือ
เข้าขั้น หนอนหนังสือ ตัวหนึ่ง (เอ๊ย คนหนึ่ง)
และถือว่าเป็นคนอ่านหนังสือเร็วใช้ได้คนหนึ่ง
แต่เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำมา
รวมถึงอ่านตำราเกี่ยวกับการฝึกฝนการอ่านให้เร็วขึ้น
ซึ่งก็ยังมีอีกหลายเทคนิควิธี ที่นำไปปรับใช้ได้เหมือนกัน
ก็อย่างว่าล่ะครับ ยุคนี้เป็นยุคแห่งความเร็ว
แม้ว่า บางเรื่อง ความเร็วก็เป็นผลเสียได้เช่นกัน
เพราะทำให้เราขาดความละเอียด ขาดความรอบคอบ
แต่ในหลายเรื่อง ความเร็วก็ทำให้เราได้เปรียบอยู่ไม่น้อย
ก็ขอให้ทุกท่าน มีความสุขกับการอ่านหนังสือ
ได้ประโยชน์กันถ้วนหน้าจากการเรียนรู้กันทุกคน….นะครับ


credit
 http://www.oknation.net/blog/kritwat/2012/07/05/entry-1

เทคนิคง่ายๆในการอ่านหนังสือให้รวดเร็ว และ เข้าใจ!!!


อ่านหนังสือ ใครหลายคนได้ยินคำนี้ ถึงกับส่ายหัว
เพราะการอ่านหนังสือเป็นของไม่ถูกโรคกัน
บางคนถึงขั้นคิดว่า จะอ่านหนังสือ ก็เครียดแล้ว
อีกบางคน แค่เริ่มอ่าน อาการง่วงหงาวหาวนอน
ก็จะรีบมาเยือนเราในทันที ยิ่งเป็นตำรับตำรา
เป็นหนังสือเรียน หนังสือวิชาการ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่หากเป็นนิยายหรือการ์ตูนแล้วล่ะก้อ
อ่านหลายชั่วโมง หรือ อ่านทั้งวันก็ไม่หลับ จริงไหมครับ
.....
...
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่
ไม่ว่าจะเป็นระดับมัธยม ปริญญาตรี โทหรือเอก
และไม่ว่า จะเป็นคณะหรือสาขาวิชาใดก็ตาม
โดยเฉพาะหากเป็นคณะที่ต้องอ่านหนังสือมากๆ
เช่น คณะนิติศาสตร์ หรือ คณะศึกษาศาสตร์
การอ่านหนังสือถือเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย
.......
คำถามก็คือ ต้องอ่านหนังสืออย่างไร
.
อ่านกี่รอบล่ะ ถึงจะเข้าใจหรือจำได้
จะว่าไป เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิควิธีของแต่ละคนครับ
ไม่มีมาตรฐานว่า ต้องอ่านสองหรือรอบสามรอบ
บางคนอ่านรอบเดียวเข้าใจเลยก็มีให้เห็นอยู่มาก
แต่บางคนต่อให้อ่านหลายรอบก็ยังไม่เข้า(หัว) สักที
......
โดยหลักมาตรฐานของคนปกติทั่วไปที่เรียนดีแล้ว
เขาจะอ่านหนังสือควรอ่านประมาณสามรอบครับ
(โปรดใช้วิจารณญาณในมาตรฐานที่บอกนี้
เพราะขึ้นอยู่กับเทคนิคและสไตล์ของแต่ละคน)
.
อ่านรอบแรก ไม่ต้องจดจำ ไม่ต้องขีดเส้นใต้
หรือ เน้นข้อความใดๆทั้งสิ้น แค่อ่านผ่านๆให้พอเข้าใจ
รอบสอง จะเน้นข้อความหรือขีดเส้นใต้ในหัวข้อสำคัญ
ส่วนรอบสาม แม้จะต้องอ่านอย่างละเอียดและเข้าใจ
แต่เนื่องจากผ่านตามาพอสมควรแล้ว
จะทำให้การอ่านในรอบนี้ชัดเจนแจ่มเเจ้งและเข้าใจ
และควรสกัดหัวข้อหรือหลักเพื่อเตรียมสอบด้วยครับ
หลายคนทำแบบนี้แล้วได้ผลดีเลิศทีเดียวเชียวครับ
ก็อย่างว่า พูดน่ะง่าย แต่สำหรับบางคนนั้นไม่ง่ายเลย
โดยเฉพาะคนที่ทำงานไปเรียนไป จะทำอย่างไร
ลำพังหาเวลาอ่านรอบเดียว ก็แสนจะยากเย็นอยู่แล้ว
แต่สำหรับคนที่เป็นหนอนหนังสือ คนที่รักการอ่าน
และฝึกฝนการอ่านอยู่อย่างสม่ำเสมอ ก็ไม่ยากนัก
เทคนิคง่ายๆ ก็คือ ต้องฝึกอ่านให้เร็วขึ้นครับ
หลายคนอ่านช้า เพราะอ่านไปคิด(มาก)ไป
หรือไล่สายตาอ่านจากซ้ายไปขวา วนไปวนมา
...
วิธีอ่านให้รวดเร็วก็คือ ให้ฝึกอ่านโดยวางสายตา
ไปที่กลางประโยคหรือบรรทัดที่เราจะอ่าน
คือ อ่านในภาพรวมของประโยคหรือบรรทัดนั้นๆ
และหากเราอ่านได้วิธีนี้ได้สักพัก เราจะชินกับการอ่านเร็ว
และจับใจความหรือจับเป็นเด็นในประโยคนั้นได้เอง
ว่ากันว่า มีบางคนฝึกฝนจนเป็นนักอ่านขั้นเทพ
คืออ่านได้เร็วมาก เพราะเขาไม่ได้วางสายตาทีละบรรทัด
เขาวางสายตาไปที่กลางเนื้อเรื่องและจับประเด็นได้อย่างเข้าใจ
แต่จะทำได้ก็ต้องมีการฝึกฝนและมีสมาธิอย่างมาก
.....
นี่แหละครับ เทคนิควิธีการอ่านให้รวดเร็วขึ้น
ก็ลองนำไปปรับใช้กับวิธีการอ่านของแต่ละคนกันนะครับ
วันพุธเอง แม้จะนับว่าเป็นคนชอบอ่านหนังสือ
เข้าขั้น หนอนหนังสือ ตัวหนึ่ง (เอ๊ย คนหนึ่ง)
และถือว่าเป็นคนอ่านหนังสือเร็วใช้ได้คนหนึ่ง
แต่เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำมา
รวมถึงอ่านตำราเกี่ยวกับการฝึกฝนการอ่านให้เร็วขึ้น
ซึ่งก็ยังมีอีกหลายเทคนิควิธี ที่นำไปปรับใช้ได้เหมือนกัน
ก็อย่างว่าล่ะครับ ยุคนี้เป็นยุคแห่งความเร็ว
แม้ว่า บางเรื่อง ความเร็วก็เป็นผลเสียได้เช่นกัน
เพราะทำให้เราขาดความละเอียด ขาดความรอบคอบ
แต่ในหลายเรื่อง ความเร็วก็ทำให้เราได้เปรียบอยู่ไม่น้อย
ก็ขอให้ทุกท่าน มีความสุขกับการอ่านหนังสือ
ได้ประโยชน์กันถ้วนหน้าจากการเรียนรู้กันทุกคน….นะครับ


cre http://www.oknation.net/blog/kritwat/2012/07/05/entry-1

เทคนิคง่ายๆในการอ่านหนังสือให้รวดเร็ว และ เข้าใจ!!!


อ่านหนังสือ ใครหลายคนได้ยินคำนี้ ถึงกับส่ายหัว
เพราะการอ่านหนังสือเป็นของไม่ถูกโรคกัน
บางคนถึงขั้นคิดว่า จะอ่านหนังสือ ก็เครียดแล้ว
อีกบางคน แค่เริ่มอ่าน อาการง่วงหงาวหาวนอน
ก็จะรีบมาเยือนเราในทันที ยิ่งเป็นตำรับตำรา
เป็นหนังสือเรียน หนังสือวิชาการ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่หากเป็นนิยายหรือการ์ตูนแล้วล่ะก้อ
อ่านหลายชั่วโมง หรือ อ่านทั้งวันก็ไม่หลับ จริงไหมครับ
.....
...
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่
ไม่ว่าจะเป็นระดับมัธยม ปริญญาตรี โทหรือเอก
และไม่ว่า จะเป็นคณะหรือสาขาวิชาใดก็ตาม
โดยเฉพาะหากเป็นคณะที่ต้องอ่านหนังสือมากๆ
เช่น คณะนิติศาสตร์ หรือ คณะศึกษาศาสตร์
การอ่านหนังสือถือเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย
.......
คำถามก็คือ ต้องอ่านหนังสืออย่างไร
.
อ่านกี่รอบล่ะ ถึงจะเข้าใจหรือจำได้
จะว่าไป เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิควิธีของแต่ละคนครับ
ไม่มีมาตรฐานว่า ต้องอ่านสองหรือรอบสามรอบ
บางคนอ่านรอบเดียวเข้าใจเลยก็มีให้เห็นอยู่มาก
แต่บางคนต่อให้อ่านหลายรอบก็ยังไม่เข้า(หัว) สักที
......
โดยหลักมาตรฐานของคนปกติทั่วไปที่เรียนดีแล้ว
เขาจะอ่านหนังสือควรอ่านประมาณสามรอบครับ
(โปรดใช้วิจารณญาณในมาตรฐานที่บอกนี้
เพราะขึ้นอยู่กับเทคนิคและสไตล์ของแต่ละคน)
.
อ่านรอบแรก ไม่ต้องจดจำ ไม่ต้องขีดเส้นใต้
หรือ เน้นข้อความใดๆทั้งสิ้น แค่อ่านผ่านๆให้พอเข้าใจ
รอบสอง จะเน้นข้อความหรือขีดเส้นใต้ในหัวข้อสำคัญ
ส่วนรอบสาม แม้จะต้องอ่านอย่างละเอียดและเข้าใจ
แต่เนื่องจากผ่านตามาพอสมควรแล้ว
จะทำให้การอ่านในรอบนี้ชัดเจนแจ่มเเจ้งและเข้าใจ
และควรสกัดหัวข้อหรือหลักเพื่อเตรียมสอบด้วยครับ
หลายคนทำแบบนี้แล้วได้ผลดีเลิศทีเดียวเชียวครับ
ก็อย่างว่า พูดน่ะง่าย แต่สำหรับบางคนนั้นไม่ง่ายเลย
โดยเฉพาะคนที่ทำงานไปเรียนไป จะทำอย่างไร
ลำพังหาเวลาอ่านรอบเดียว ก็แสนจะยากเย็นอยู่แล้ว
แต่สำหรับคนที่เป็นหนอนหนังสือ คนที่รักการอ่าน
และฝึกฝนการอ่านอยู่อย่างสม่ำเสมอ ก็ไม่ยากนัก
เทคนิคง่ายๆ ก็คือ ต้องฝึกอ่านให้เร็วขึ้นครับ
หลายคนอ่านช้า เพราะอ่านไปคิด(มาก)ไป
หรือไล่สายตาอ่านจากซ้ายไปขวา วนไปวนมา
...
วิธีอ่านให้รวดเร็วก็คือ ให้ฝึกอ่านโดยวางสายตา
ไปที่กลางประโยคหรือบรรทัดที่เราจะอ่าน
คือ อ่านในภาพรวมของประโยคหรือบรรทัดนั้นๆ
และหากเราอ่านได้วิธีนี้ได้สักพัก เราจะชินกับการอ่านเร็ว
และจับใจความหรือจับเป็นเด็นในประโยคนั้นได้เอง
ว่ากันว่า มีบางคนฝึกฝนจนเป็นนักอ่านขั้นเทพ
คืออ่านได้เร็วมาก เพราะเขาไม่ได้วางสายตาทีละบรรทัด
เขาวางสายตาไปที่กลางเนื้อเรื่องและจับประเด็นได้อย่างเข้าใจ
แต่จะทำได้ก็ต้องมีการฝึกฝนและมีสมาธิอย่างมาก
.....
นี่แหละครับ เทคนิควิธีการอ่านให้รวดเร็วขึ้น
ก็ลองนำไปปรับใช้กับวิธีการอ่านของแต่ละคนกันนะครับ
วันพุธเอง แม้จะนับว่าเป็นคนชอบอ่านหนังสือ
เข้าขั้น หนอนหนังสือ ตัวหนึ่ง (เอ๊ย คนหนึ่ง)
และถือว่าเป็นคนอ่านหนังสือเร็วใช้ได้คนหนึ่ง
แต่เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า มีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำมา
รวมถึงอ่านตำราเกี่ยวกับการฝึกฝนการอ่านให้เร็วขึ้น
ซึ่งก็ยังมีอีกหลายเทคนิควิธี ที่นำไปปรับใช้ได้เหมือนกัน
ก็อย่างว่าล่ะครับ ยุคนี้เป็นยุคแห่งความเร็ว
แม้ว่า บางเรื่อง ความเร็วก็เป็นผลเสียได้เช่นกัน
เพราะทำให้เราขาดความละเอียด ขาดความรอบคอบ
แต่ในหลายเรื่อง ความเร็วก็ทำให้เราได้เปรียบอยู่ไม่น้อย
ก็ขอให้ทุกท่าน มีความสุขกับการอ่านหนังสือ
ได้ประโยชน์กันถ้วนหน้าจากการเรียนรู้กันทุกคน….นะครับ

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รับโควตาพิเศษ บุตรเกษตรกร-โควตารับตรง ม.เกษตรฯกำแพงแสน


รับโควตาพิเศษ บุตรเกษตรกร-โควตารับตรง ม.เกษตรฯกำแพงแสน


มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เปิดโครงการส่งเสริมโอกาสศึกษาต่อ 

โดยเปิดโควตารับตรง ประจำปีการศึกษา 2556

เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 (เวลา 10.00 น.) - 27 ธันวาคม 2555 (เวลา 23.59 น.)


ปฏิทินโครงการ ประจำปีการศึกษา 2556


ปฏิทินโควตารับตรง (ทุกสาขา ยกเว้น สาขาเคมีและสาขาจุลชีววิทยา )
รายการวัน / เดือน / ปี
รับสมัครผ่านเว็บไซต์วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2555 (เวลา 10.00 น.) - วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2555 (เวลา 23.59 น.)
ผู้สมัครตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลวันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2555 - วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2555
ผู้สมัครชำระเงินวันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2555 - วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2555
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกผ่านเว็บไซต์ (ผู้ชำระเงิน)วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2556 เวลา 15.30 น. เป็นต้นไป
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ (รอบแรก) ผ่านเว็บไซต์วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2556 เวลา 15.30 น. เป็นต้นไป
สอบสัมภาษณ์ (รอบแรก)วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2556 เวลา 08.30 - 10.30 น. ณ ห้องคอนเวนชั่น อาคารศูนย์มหาวิทยาลัย
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษา (รอบแรก)วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2556 เวลา 13.30 - 15.00 น.
รายงานตัวและชำระค่ายืนยันสิทธิ์ (รอบแรก)วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2556 เวลา 13.30 - 15.00 น.
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ (รอบสอง) ผ่านเว็บไซต์วันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2556 เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ (รอบสอง)วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2556 เวลา 08.30 - 10.30 น. ณ อาคารศูนย์มหาวิทยาลัย
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษา (รอบสอง)วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2556 เวลา 13.30 - 15.00 น.
รายงานตัวและชำระค่ายืนยันสิทธิ์ (รอบสอง)วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2556 เวลา 13.30 - 15.00 น.
วันสุดท้ายของการสละสิทธิ์เข้าศึกษาต่อฯวันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2556




ปฏิทินโควตารับตรงผ่านระบบ Clearinghouse (เฉพาะ สาขาเคมีและสาขาจุลชีววิทยา )
รายการวัน / เดือน / ปี
รับสมัครผ่านเว็บไซต์วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2555 (เวลา 10.00 น.) - วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2555
ผู้สมัครตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลวันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2555 - วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2555
ผู้สมัครชำระเงินวันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2555 - วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2555
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกผ่านเว็ปไซต์วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2556 เวลา 15.30 น. เป็นต้นไป
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ผ่านเว็ปไซต์วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2556 เวลา 15.30 น. เป็นต้นไป
สอบสัมภาษณ์วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2556 เวลา 08.30 - 10.30 น. ณ ห้องคอนเวนชั่น อาคารศูนย์มหาวิทยาลัย
ผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษารับรหัสระบุตัวบุคคล ณ ห้องคอนเวนชั่น อาคารศูนย์มหาวิทยาลัยวันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2556 เวลา 13.30 น.
นักเรียนแจ้งยืนยันสิทธิ์เข้าศึกษาในระบบ Clearinghouse ทางเว็ปไซต์http://www.cuas.or.th/quota/index.htmlวันจันทร์ที่ 11 มีนาคม – วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2556
สมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทยแจ้งรายชื่อผู้ที่ยืนยันสิทธิ์มายังมหาวิทยาลัยฯภายในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2556
มหาวิทยาลัยประกาศรายชื่อนักเรียนที่คัดเลือกผ่านระบบ Clearinghouse ที่เว็ปไซต์วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2556 เวลา 15.00 น.
นักเรียนยืนยันสิทธิ์การเข้าศึกษาคณะที่เข้าร่วมรับตรงผ่าน
ผ่านระบบ Clearinghouse และชำระเงินค่ายืนยันสิทธิ์
คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี และสาขาจุลชีววิทยา
วันพุธที่ 27 มีนาคม 2556 เวลา 09.00 - 12.00 น. บริเวณหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยกำแพงแสน (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) อาคารศูนย์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
รับสมัครโควตาพิเศษ สำหรับบุตรเกษตรกร 

 
คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์

เปิดรับสมัครนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี

ในโควตาพิเศษ สำหรับบุตรเกษตรกร ประจำปี 2556 

ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. - 27 ธ.ค. 2555

หมายเหตุ - รายละเอียดโครงการอื่น ๆ จะนำเสนอต่อไป

ข้อมูลการรับสมัครโควตารับตรง
เอกสารประกอบข่าว :

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ร.ร.จ่าอากาศรับสมัคร ม.3- ม.6 ชายสอบคัดเลือก น.ร.จ่าอากาศ'56


รับสมัครสอบนักเรียนจ่าอากาศ 2556 โรงเรียนจ่าอากาศ รับสมัครนักเรียน วุฒิม.3 – ม.6 ประจำปี 2556


          โรงเรียนจ่าอากาศ กองทัพอากาศ มีความประสงค์จะรับสมัครบุคคลชาย เพื่อสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนจ่าอากาศ ประจำปี 2556 วุฒิมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) และ มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) โดยมีรายละเอียดดังนี้

คุณสมบัติผู้สมัคร

          สำเร็จการศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอน ต้น (ม.3) หรือเทียบเท่า อายุ 15 – 18 ปี เข้าศึกษาในเหล่าทหารช่างอากาศ (ชอ.) เหล่าทหารสื่อสาร (ส.) และเหล่าทหารสรรพาวุธ (สพ.) ระยะเวลาศึกษา 3 ปี

          สำเร็จการศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) หรือเทียบเท่า อายุ 17 – 20 ปี เข้าศึกษาในเหล่าทหารอากาศโยธิน (อย.) และเหล่าทหารสารวัตร (สห.) ระยะเวลาศึกษา 2 ปี

          สำเร็จการศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอน ปลาย (ม.6) หรือเทียบเท่า แผนการเรียน วิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ อายุ 17 – 20 ปี เข้าศึกษาในเหล่าทหารแพทย์ (พ.) เหล่าทหารต้นหน (ตห.) เหล่าทหารอากาศโยธิน (อย.) และ เหล่าทหารสารวัตร (สห.) ระยะเวลาศึกษา 2 ปี

โดยมีคะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตร ไม่ต่ากว่า 2.00


วิธีการรับสมัคร

          สำหรับผู้สนใจสมัครสอบโรงเรียนจ่าอากาศ ตามประกาศ สมัครสอบนักเรียนจ่าอากาศ 2556 โรงเรียนจ่าอากาศ รับสมัครนักเรียน วุฒิม.3 – ม.6 ประจำปี 2556 สามารถสมัครสอบนักเรียนจ่าอากาศได้ 3 ช่อง

1. สมัครด้วยตนเอง ระหว่างวันที่ 2 – 8 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 08.30 น. – 15.00 น. ไม่เว้นวันหยุดราชการ ที่ห้องประชุม โรงเรียนจ่าอากาศ ดอนเมือง กรุงเทพฯ

2. สมัครทางไปรษณีย์ ส่งใบสมัครถึงโรงเรียนจ่าอากาศ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน2555 – 25 มกราคม 2556

3. สมัครทาง Internet ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 – 31 มกราคม 2556 ทางเว็บไซต์ 

http://www.atts.ac.th/




รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.atts.ac.th/